วันเสาร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2560

เริ่มต้นวันใหม่กับสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์สูงสุด

อาหารเช้าให้สารอาหารระดับเซล
เริ่มต้นวันใหม่กับสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดด้วยอาหารมื้อเช้าที่ให้สารอาหารกับร่างกายแบบราชา อาหารเช้าเป็นมื้อสำคัญที่สุดของวันเป็นการเริ่มต้นวัน ที่จะกำหนดชีวิตของเราไปตลอดทั้งวัน หากมี อาหารเช้า ที่ดีก็จะช่วยให้วันนั้นเป็นวันดีดีเช่นกัน “หากอยากจะมีวันที่ดี จะต้องกินมื้อเช้าอย่างราชา”

การรับประทาน อาหารเช้า อย่างถูกต้องและครบถ้วน ร่างกายจะสามารถนำพลังงานมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ร่างกายและสมอง ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ช่วยลดอาการอ่อนเพลีย หงุดหงิดง่าย รวมถึงการง่วงนอนในระหว่างวัน นอกจากนี้การรับประทานมื้อเช้าที่ดีจะช่วยให้เราไม่หิวระหวังมื้ออาหาร และรับประทานอาหารในมื้ออื่นน้อยลง ซึ่งจะส่งผลดีมากๆสำหรับผู้ที่กำลังอยู่ในช่วงควบคุมน้ำหนักอยู่

มื้อเช้าที่สมบูรณ์แบบ
การรับประทาน อาหารเช้า ที่ดีสิ่งสำคัญระดับแรกคือ เวลาในการรับประอาหาร ถ้าอยากให้มื้อเช้าสมบูรณ์แบบ เราควรรับประทานให้เสร็จก่อนเวลา 9.00 น. เพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานไปใช้ในการทำงานหรือการเรียนในช่วงเช้าได้ทัน หากใครที่เข้างานเช้า ก็ควรเลื่อนระยะเวลาในการรับประทานอาหารเช้าให้เร็วขึ้นไปอีก

"โปรตีน" สารอาหารสำคัญสำหรับมื้อแรก !
จากการศึกษากลุ่มตัวอย่างพบว่า ผู้ที่รับประทานอาหารเช้าโดยบริโภคโปรตีนในปริมาณสูง มีแนวโน้มที่จะลดแคลอรี่จากการบริโภคอาหารมื้อเย็นได้ต่ำกว่าผู้ที่รับประทานอาหารมื้อเช้าแบบปกติถึง 200 กิโลแคลอรี่ เนื่องจาก "โปรตีน" เป็นสารอาหารที่สำคัญสำหรับมื้อเช้า เพราะนอกจากจะทำให้ร่างกายรู้สึก "อิ่ม" ได้นานแล้ว ยังช่วยกระตุ้นให้ร่างกายและจิตใจตื่นตัวไปตลอดทั้งวันอีกด้วย

ภญ.ณัฏฐ์จิตรา ตรีพงษ์ชัย แนะนำ เมนูง่ายๆ ใช้เวลาน้อยแต่ประโยชน์มหาศาล
     1.ซีเรียล หรือ คอร์นเฟลก ข้าวโพดแผ่นบางกรอบราดด้วยนม ถือเป็นอาหารเช้าที่เข้าท่าทีเดียว สำหรับคนที่อาจไม่มีเวลาทานข้าวเช้า นอกจากจะได้ความอร่อยแล้ว ยังให้พลังงาน แถมคอร์นเฟลกยังมีไขมันต่ำอีกด้วย ถ้าจะให้ดีลองผสมผลไม้สดลงไปในคอร์นเฟลกด้วย ก็จะได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนยิ่งขึ้น
     2.ปลา เป็นอาหารที่อุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า-3 ซึ่งมีผลต่อประสิทธิภาพของสมองโดยตรง แถมยังเป็นเนื้อสัตว์ที่ไม่มีไขมัน รับรองว่าไม่ทำให้อ้วนแน่นอนค่ะ
     3.ไข่ ไม่ว่าจะเป็นไข่ดาว ไข่เจียว ไข่ต้ม ไข่ตุ๋น ล้วนเป็นอาหารจานโปรดของใครหลายๆ คน และเป็นอาหารที่มีสารอาหารหลากหลาย ทั้งโปรตีน วิตามินบี 12 และสังกะสี แถมยังช่วยเสริมสร้างความจำ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอของสมองอีกด้วย

     4.โยเกิร์ต อีกหนึ่งอาหารเช้ายอดฮิตที่หาซื้อ หาทานได้ง่ายทีเดียว แถมยังเป็นอาหารที่มีโปรตีนจำพวกกรดอะมิโนสูง มีผลต่อระบบขับถ่าย และไม่ทำให้อ้วนด้วยล่ะ
     5.ผักผลไม้ ประกอบไปด้วยแร่ธาตุ วิตามิน และเส้นใยในปริมาณมาก ฉะนั้นแล้วเราควรทานผักผลไม้ทุกวัน โดยเริ่มตั้งแต่เช้าวันใหม่เลย และไม่ควรเลือกทานผลไม้ที่มีรสหวานจัดจนเกินไป เพราะหากระดับน้ำตาลในเลือดมากเกินไป จะทำให้สมองมึนซึม คิดอะไรไม่ค่อยออก แถมยังต้องนั่งง่วงอีกด้วย
     6.ธัญพืชไม่ขัดสี ไม่ว่าจะเป็นลูกเดือย ขนมปังโฮลวีท เหล่านี้เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูง และเป็นคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อนที่ให้พลังงานได้นาน

     7.ข้าวมีคุณสมบัติช่วยให้ระบบการย่อยของร่างกายทำงานเป็นปกติ แถมยังเป็นคาร์โบไฮเดรตที่ช่วยชาร์จพลังงานยามเช้าให้เราได้ แต่ถ้าจะอยากได้รับประโยชน์จากข้าวแบบเต็มๆ แล้วละก็ ลองเลือกทาน "ข้าวซ้อมมือ" หรือ "ข้าวกล้อง" ดูสิคะ จะได้รับวิตามินเพิ่มเติม แถมอิ่มไปทั้งมื้อด้วย
     การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้กิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน เป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไมกินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจน ส่งขึ้นไปเลี้ยงสมองเพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1,บี 6 และ บี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆ ก็ควรเลือกรับประทานเมนูอาหารตามที่ได้แนะนำไปแล้วนะค่ะ แล้วเลือกเสริมวิตามินหรือสารอาหารจากธรรมชาติที่จำเป็น เช่น
- น้ำมันปลา ซึ่งประกอบไปด้วยโอเมก้า-3 คือ EPA และ DHA การได้รับน้ำมันปลา 2,000-3,000 มิลลิกรัมต่อวัน ช่วยป้องกันความเครียดและอารมณ์หดหู่ ทั้งยังช่วยลดไขมันไตรกลีเซอไรด์ ลดความดันโลหิต
- โสมสกัดเป็นสารอาหารที่ได้รับการยอมรับอย่างแพร่หลายทั่วโลกว่ามีส่วนช่วยให้ร่างกายไม่อ่อนเพลีย โดยออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้กระชุ่มกระชวย และมีคุณสมบัติเป็นยาบำรุงกำลังทำให้กล้ามเนื้อมีความสามารถดีขึ้น โดยปกติโสมเป็นสมุนไพรที่มีผลกว้างเพื่อเสริมสร้างความต้านทานของร่างกาย โดยไปต้านทานการเกิดโรค ช่วยให้เจริญอาหาร ลดอาการนอนไม่หลับหรือลดอาการเครียด

- วิตามินบี มีส่วนสำคัญในการบำรุงสมองและระบบประสาทได้ดี มีผลวิจัยพบว่าการได้รับวิตามินบีปริมาณสูงพอ มีส่วนช่วยให้สมองปลอดโปร่ง อารมณ์ดี ช่วยลดความเครียดรวมทั้งช่วยส่งเสริมให้เกิดการเผาผลาญพลังงานในเซลล์ ทำให้ร่างกายรู้สึกมีพลังอยู่เสมอ
- วิตามินซี ซึ่งการรับประทานเป็นประจำจะช่วยชะลอความแก่และป้องกันโรคต่างๆ ที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย โดยวิตามินซีควรได้รับ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
- แร่ธาตุสังกะสีวันละ 10-19 มิลลิกรัม มีส่วนช่วยให้ร่างกายเสริมสร้างฮอร์โมนเพศชาย ทำให้ยังคงความหนุ่ม ไม่แก่ก่อนวัยอันควร
- วิตามินอี ทำหน้าที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระและมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเกิดการเกาะกันของเกล็ดเลือด จึงอาจช่วยป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด โดยทั่วไปควรได้รับวิตามินอีวันละ 400 มิลลิกรัม
     สารอาหารเหล่านี้ เป็นเพียงส่วนหนึ่งในการสร้างสุขภาพดี ซึ่งนอกจากโภชนาการที่ครบถ้วน และที่ถูกต้องตามสัดส่วนแล้ว การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ มองโลกในแง่ดี และทำจิตใจให้แจ่มใส เป็นสิ่งจำเป็นต่อการคงไว้ซึ่งสุขภาพที่ดี

มื้อเช้า...มื้อรับอรุณบำรุงสุขภาพ
แม้ช่วงเวลาเช้าจะเป็นช่วงเร่งรีบมากแค่ไหน แต่ก็ไม่สมควรหลงลืมการรับประทานอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดของวัน อีกทั้งยังมากด้วยคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ

เช้าแห่งความวุ่นวายและรีบเร่งที่จะต้องออกไปต่อสู้กับการจราจรแสนติดขัด อาจทำให้หลายคนหลงลืมทาน "อาหารเช้า" ไปด้วยความไม่ตั้งใจ โดยอ้างว่าไม่มีเวลาบ้างล่ะ ตื่นสายบ้างล่ะ ใครจะรู้บ้างว่า "อาหารเช้า" คืออาหารมื้อที่สำคัญที่สุดที่จะช่วยชาร์จพลังงาน แถมยังมีประโยชน์อีกเพียบที่คุณๆ ได้ยินแล้วต้องร้อง "ไม่น่าเชื่อ!!!"

อาหารเช้า มีคุณประโยชน์อะไรบ้าง

1.อาหารเช้าช่วยควบคุมโรคอ้วนนั่นเพราะจากมื้อดึกจนถึงเช้าวันใหม่ เราอดอาหารมานานเกือบ 12 ชั่วโมง และหากเรายิ่งไม่ทานอาหารเช้าเข้าไปอีก จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง จนไปเพิ่มแนวโน้มการรับประทานอาหารที่มีพลังงานและไขมันสูงในมื้อเที่ยงมากขึ้น และนี่ก็เป็นสาเหตุให้มีน้ำหนักเกินและโรคอ้วนได้อย่างไม่รู้ตัว

2.ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจ ผลการวิจัยจากสมาคมแพทย์โรคหัวใจในอเมริกาเมื่อปี 2003 พบว่า การรับประทานอาหารเช้าอย่างสม่ำเสมอ อาจช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและโรคหัวใจได้ด้วย เพราะในตอนเช้าเลือดของเรามีความเข้มข้นสูง และทำให้เส้นเลือดที่ส่งไปเลี้ยงสมอง หรือหัวใจอุดตันได้ แต่ถ้ารับประทานอาหารเช้าเข้าไป จะช่วยให้ระดับความเข้มข้นในเลือดเจือจางลง

3.เพื่อประสิทธิภาพการเรียนและทำงานมีการวิจัยพบว่า การรับประทานอาหารเช้ามีส่วนเพิ่มประสิทธิภาพการเรียน การทำงาน ทำให้ระบบความจำ ทักษะการเรียนรู้ และอารมณ์ดีขึ้น โดยเฉพาะเด็กวัยเรียน หรือ ผู้ใหญ่วัยทำงาน ถ้าไม่ทานอาหารเช้า จะมีสมาธิน้อยลง และสมองก็ทำงานได้ไม่เต็มที่

4.ช่วยลดโอกาสเกิดโรคนิ่ว การไม่รับประทานอาหารนานกว่า 14 ชั่วโมง จะทำให้คอเลสเตอรอลในถุงน้ำดีจับตัวกันนาน หากนาน ๆ ไปสิ่งที่จับตัวกันนั้นจะกลายเป็นก้อนนิ่ว แต่หากเราทานอาหารเช้าเข้าไปละก็ มันจะไปกระตุ้นให้ตับปล่อยน้ำดีออกมาละลายคอเลสเตอรอลที่จับตัวกันอยู่ได้

5. ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานได้ โดยคนที่รับประทานอาหารเช้าจะมีภาวะผิดปกติของฮอร์โมนอินซูลิน หรือที่เรียกว่าภาวะดื้อต่ออินซูลินซึ่งเป็นสาเหตุของโรคเบาหวานนั้นลดลงถึง 35-50% เลยทีเดียว

6.เพิ่มสมาธิในเด็กสำหรับเด็ก ๆ การอดอาหารเช้าเป็นประจำ อาจทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ ส่งผลให้ร่างกายไม่แข็งแรง การเจริญเติบโตไม่เป็นไปตามเกณฑ์ และยังส่งผลต่อสติปัญญา ทำให้ขาดสมาธิ ส่งผลเสียในระยะยาวอีกด้วย

การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้กิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00-09.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน เป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไมกินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจน ส่งขึ้นไปเลี้ยงสมองเพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1,บี 6 และ บี 12

วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุด

สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดด้วยโภชนาการตามหลักวิทยสศาสตร์
     เอาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดเป็นตัวตั้งแล้วหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และโภชนาการที่ถูกต้องมาเป็นองค์ความรู้สนับสนุน ด้วยเหตุและด้วยผลของงานวิจัยและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้ผลลัพท์ออกมาคือ สุขภาพของคุณจะแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดตลอดไป

     ร่างกายของมนุษย์ทุกคนประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตซ่อนอยู่ภายในร่างกายอยู่ 2 ชนิด คือเซลร่างกายของเรามีอยู่ 60 ล้าน ล้านเซล และมีสิ่งมีชีวตอีกชนิดหนึ่งคือ แบคที่เรียดีอาศัยอยู่ที่สำไส้ของมนุษย์มีอยู่ 600 ล้าน ล้านตัว ทั้งสองส่วนอาศัยร่ามกันมาตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดเกิดมาบนโลกนี้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ชีวิตมนุษย์ที่สามารถยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้สิ่งมีชีวิตทั้งสองต่างเกื้อกูลกันตลอดมา
ร่างกายต้องการสารอาหารจำเป็น 5 หมู่ จากอาหารเพื่อการดำรงชีวิต
อาหารหลัก 5 หมู่ และประโยชน์ต่อสุขภาพ

ร่างกายของคนเราควรได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันการเจ็บป่วยได้ง่าย แต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หากแต่สารอาหารที่ร่างกายได้รับนั้นไม่ครบทั้ง 5 หมู่อย่างที่ควรได้รับก็ถือว่าร่างกายยังไม่สมบูรณ์และแข็งแรงได้อย่างแท้จริง

หากต้องการให้ร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรงและไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บง่าย ก็ควรใส่ใจ่รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่เป็นประจำทุกวัน ว่าแต่เราสามารถรับประทานให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ได้จาก
อาหารหมู่ที่ 1 โปรตีน ประกอบไปด้วยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ และถั่วต่างๆ ซึ่งอาหารประเภทนี้จะให้สารอาหารประเภทโปรตีนแก่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายมีความเจริญเติบโต อีกทั้งยังทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น มันยังทำหน้าที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานเพื่อป้องกันโรคให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี

สำหรับร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ร่างกายเกิดการสึกหรอ สารอาหารเหล่านี้ก็ช่วยซ่อมแซมในส่วนนั้นได้ดีทีเดียว ในส่วนของอาหารประเภทนี้ยังถูกนำไปสร้างกระดูก เลือด กล้ามเนื้อ ผิวหนัง น้ำย่อย เม็ดเลือด และฮอร์โมน รวมทั้งภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ดังนั้นจึงถือว่าอาหารที่อยู่ในหมู่ที่ 1 นี้ จัดเป็นอาหารหลักที่มีความสำคัญในการสร้างโรคงสร้างของร่างกายในการเจริญเติบโต และช่วยทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติยิ่งขึ้น

โปรตีนจะประกอบไปด้วยสารเคมี 2 ชนิดด้วยกันคือ
1. กรดอะมิโนจำเป็น คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ดังนั้นร่างกายจึงต้องได้รับกรดอะมิโนประเภทนี้จากการรับประทานเข้าไป
2. กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหาร และยังได้รับจากการสร้างขึ้นมาเองของร่างกายอีกด้วย

ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 1
1.โปรตีนเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
2.ร่างกายมีความต้องการโปรตีนอยู่เสมอเพื่อนำโปรตีนไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อในส่วนที่สึกหรออยู่ทุกวัน
3.โปรตีนมีส่วนช่วยรักษาดุลน้ำ เพราะโปรตีนที่มีอยู่ในเซลล์และหลอดเลือดจะช่วยรักษาปริมาณน้ำในเซลล์และหลอดเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่มีความเหมาะสม
4.ช่วยรักษาดุลกรด – ด่างของร่างกาย เนื่องจากกรดอะมิโนนั้นจะมีหน่วยคาร์บอกซีลที่มีฤทธิ์เป็นกรดและเป็นด่าง ดังนั้นโปรตีนจึงมีคุณสมบัติช่วยรักษาดุลกรด – ด่างนั่นเอง และนั่นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการเกิดปฏิกิริยาต่างๆ ภายในร่างกาย

อาหารหมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต
ประกอบไปด้วยข้าว น้ำตาล แป้ง มัน และเผือก เป็นต้น ซึ่งอาหารประเภทนี้จะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแก่ร่างกาย และนั่นก็คือการให้พลังงานแก่ร่างกายนั่นเอง มันจึงทำให้ร่างกายของคนเราสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอีกด้วย ในส่วนของพลังงานที่ได้รับจากการทานอาหารประเภทนี้โดยส่วนใหญ่จะหมดไปเป็นวันต่อวัน จากการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ทำงาน ออกกำลังกาย และเดิน เป็นต้น แต่หากคุณรับประทานอาหารประเภทนี้มากเกินความต้องการของร่างกายก็จะทำให้พลังงานถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน จนทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

คาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับจากการรับจากอาหารประเภทนี้มี 3 ประเภทด้วยกันคือ
1.โนโนแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดของโมเลกุลเล็กที่สุด จะดูดซึมจากลำไส้ได้เลยเมื่อเข้าสู่ร่างกาย โดยที่ไม่ต้องผ่านการย่อยแต่อย่างใด
2.ไดแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีส่วนประกอบของโมโนแซ็กคาไรด์จำนวน 2 ตัวมารวมกัน เมื่อร่างกายได้รับสารไดแซ็กคาไรด์ จะทำให้น้ำย่อยที่อยู่ในลำไส้เล็กย่อยออกมาเป็นโมโนแซ็กคาไรด์ก่อน ร่างกายจึงนำไปใช้ประโยชน์ได้
3.พอลีแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังมีสูตรโครงสร้างที่ซับซ้อน และประกอบไปด้วยโมโนแซ็กคาไรด์จำนวนมากมารวมกัน
ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 2
1.มีความจำเป็นต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
2.มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง
3.สงวนคุณค่าของโปรตีนไม่ให้เกิดการเผาผลาญเป็นพลังงาน หากร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่เพียงพอ
4.คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของแคลอรีทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ
แต่ละวัน
5.กรดกลูคูโรนิกซึ่งเป็นสารอนุพันธุ์ของกลูโคสนั้น จะคอยทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายเมื่อสารพิษเหล่านั้นผ่านไปที่ตับให้มีพิษลดลง อีกทั้งยังทำให้สารพิษอยู่ในสภาพที่ขับถ่ายออกมาได้

อาหารหมู่ที่ 3 วิตามินพืชผัก
ประกอบไปด้วยผักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำลึง ผักกาด ผักบุ้ง ผักใบเขียวต่างๆ และผักชนิดอื่นๆ ที่สามารถนำมารับประทานได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งอาหารประเภทนี้จะมีส่วนในการให้วิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกาย อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างเพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ให้ร่างกายได้มีแรงต้านทานต่อเชื้อโรคชนิดต่างๆ แถมยังทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติอีกด้วย
สารอาหารที่ร่างกายจะได้รับจากการทานอาหารในหมู่ที่ 3 นี้ก็คือวิตามิน ซึ่งเป็นวิตามินในกลุ่มของสารอินทรีย์ และยังเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการจำนวนน้อย เพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายได้อย่างปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินเองได้ ดังนั้นจึงเกิดอาการอาศัยสมบัติของการละลายตัวของวิตามิน และทำให้เกิดการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 จำพวกคือ วิตามินที่ละลายตัวในไขมัน และวิตามินที่ละลายในน้ำ
1.วิตามินที่ละลายตัวในไขมัน คือ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งเป็นวิตามินที่มีการดูดซึมโดยการต้องอาศัยไขมันในอาหาร มีหน้าที่ทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนบางชนิดในร่างกาย
2.วิตามินที่ละลายในน้ำ คือ วิตามินทั้ง 9 ตัว ได้แก่ วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี12 ไนอาซิน กรดแพนโทนิก ไบโอติน และโฟลาซิน เป็นวิตามินที่มีหน้าที่ทางชีวเคมีคือ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหรือทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายดำเนินไปได้
ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 3
1.ช่วยในการมองเห็นของดวงตา โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย
2.ช่วยเผาผลาญโปรตีนที่อยู่ในร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังงาน
3.มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาท ไขกระดูก หรือทางเดินอาหาร

อาหารหมู่ที่ 4 วิตามินผลไม้
ประกอบไปด้วยผลไม้ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้วย ส้ม มะละกอ แอปเปิล ลำไย มังคุด และอื่นๆ ซึ่งผลไม้เหล่านี้จะให้สารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งเป็นสารที่จะช่วยทำให้ร่างกายของคนเรามีความแข็งแรงพร้อมทั้งมีแรงในการต้านทานโรค แถมยังมีกากใยอาหารที่ช่วยทำให้การขับถ่ายของลำไส้เป็นไปตามปกติอีกด้วย

ประเภทของสารอาหารหมู่ที่ 4
ประเภทของสารอาหารที่จะได้รับจากอาหารหมู่นี้นั่นก็คือ เกลือแร่ ซึ่งเป็นเกลือแร่ที่จัดอยู่ในกลุ่มของสารอนินทรีย์ที่ร่างกายขาดไม่ได้เลย ทั้งนี้มีการแบ่งเกลือแร่ชนิดนี้ออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

1.เกลือแร่ที่มนุษย์ต้องการในปริมาณที่มากกว่าวันละ 100 มิลลิกรัม นั่นก็คือ แมกนีเซียม โซเดียม กำมะถัน ฟอสฟอรัสโพแทสเซียม คลอรีน และแคลเซียม
2.เกลือแร่ที่มนุษย์ต้องการในปริมาณวันละ 2-3 มิลลิกรัม นั่นก็คือ เหล็ก โครเมียม ไอโอดีน ทองแดง โคบอลต์ สังกะสี แมงกานีส ซีลีเนียม ฟลูออรีนและโมลิบดีนัม
ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 4
1.ช่วยควบคุมความเป็นกรด – ด่างในร่างกาย เพราะ โพแทสเซียม คลอรีน ฟอสฟอรัส และโซเดียม มีหน้าที่สำคัญในการช่วยควบคุมความเป็นกรด – ด่างในร่างกาย
2.ช่วยควบคุมสมดุลน้ำ เนื่องจากโพแทสเซียมและโซเดียมมีส่วนช่วยในการควบคุมความสมดุลของน้ำทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกเซลล์
3.มีส่วนช่วยในการเร่งปฏิกิริยา เนื่องจากปฏิกิริยาหลายชนิดที่อยู่ในร่างกายจะดำเนินไปได้นั้น ต้องมีเกลือแร่เป็นตัวเร่ง เช่น แมกนีเซียม ถือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญกลูโคสให้เกิดพลังงาน

ประเภทของสารอาหารหมู่ที่ 5
สำหรับประเภทของสารอาหารในอาหารหมู่นี้ก็คือ ไขมัน ซึ่งเป็นสารอินทรีย์กลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถละลายได้ในน้ำ แต่จะสามารถละลายได้ดีในน้ำมันและไขมันด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ไขมันที่มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพของคน คือ ไตรกลีเซอไรด์และคอเสเตอรอล โดยส่วนใหญ่ไขมันทั้งสองชนิดนี้จะอยู่ในอาหาร และในส่วนของประเภทกรดไขมันจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

1.กรดไขมันไม่จำเป็น คือกรดไขมันที่นอกจากร่างกายจะได้รับจากการรับประทานอาหารแล้ว ร่างกายยังสามารถสังเคราะห์กรดไชมันชนิดนี้ได้อีกด้วย นั่นก็คือ กรดสเตียริกและกรดโอเลอิก
2.กรดไขมันจำเป็น คือ กรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ร่างกายจะได้รับจากการรับประทานอาหารเข้าไป โดยกรดไขมันชนิดนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ตัวคือ กรดไลโนเลอิก กรดไลโนเลนิก และกรดอะแรคิโดนิก

ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 5
1.ไขมันในปริมาณ 1 กรัม จะให้พลังงานมากถึง 9 กิโลแคลอรี ให้กรดไขมันที่จะเป็นต่อการช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แบะวิตามินเค
2.ไขมันจะทำให้รสชาติของอาหารถูกปาก แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ
3.มีส่วนช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ไม่ทำให้รู้สึกหิวบ่อยๆ
ทราบถึงเนื้อหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาหาร 5 หมู่ ประเภทของสารอาหาร และหน้าที่ของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไปแล้ว จะเห็นได้ว่าการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะร่างกายไม่สามารถรับสารอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งแต่เพียงเท่านั้น อีกทั้งหากเรารับประทานอาหารไม่ครบถ้วนทั้ง 5 หมูเพียงพอหรือหากขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน โดยจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในด้านอื่นๆ ตามมา

ดังนั้น เพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารไปใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพและเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้สุขภาพต่อไป จากนี้ต้องพิถีพิถีใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นสารอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่เป็นประจำทุกมื้อจะดีที่สุด หากทำได้เช่นนี้ นอกจากโรคภัยไข้เจ็บไม่กล้ามาเบียดเบียนง่ายแล้ว ยังทำให้อายุยืนยาวได้อีกด้วย


     โปรไบโอติก = ซุปเปอร์ฮีโร่ประจำร่างกาย อาศัยภายในลำไส้ของเรานั้นเต็มไปด้วยจุลินทรีย์จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้คือ “ฮีโร่” โดยเฉพาะโปรไบโอติกกลุ่มแลคติกแอซิดแบคทีเรีย ที่นอกจากจะช่วยในการปรับกลไกของลำไส้แล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างสมรรถภาพของลำไส้ ลดอาการภูมิแพ้ แก้อาการอักเสบ แถมยังมีผลในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งได้อีกด้วย

พรีไบโอติก (Prebiotics) คืออะไร
    หากท่านเป็นผู้ที่มีปัญหาเรื่องขับถ่ายยากเป็นประจำ ก็คงเคยได้รู้จักกับโปรไบโอติก( Probiotics) มาบ้าง แต่อาจยังไม่เคยได้ยินว่ายังมี พรีไบโอติก (Prebiotics) อยู่ด้วย เเละหากทราบว่า โปรไบโอติก คือ จุลินทรีย์มีชีวิตที่ก่อให้เกิดประโยชน์หลายๆด้านกับร่างกาย แล้วพรีไบโอติกล่ะคืออะไร ?มีประโยชน์หรือไม่?แล้วเกี่ยวข้องกับโปรไบโอติกอย่างไร?วันนี้เราจะมาไขปัญหาเหล่านี้กัน…

    พรีไบโอติก (Prebiotics)  คือ อาหารของจุลินทรีย์ ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้และไม่ถูกดูดซึมได้ในระบบทางเดินอาหาร ทั้งกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กจึงเป็นสารอาหารที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่แบคทีเรียในกลุ่ม lactic acid bacteriaได้แก่ แล็กโทบาซิลลัส (lactobacillus) และ ไบฟิโดแบคทีเรีย (bifidobacteria) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์โปรไบโอติก สามารถ ย่อย Prebiotics ที่บริเวณลำไส้ใหญ่ได้แล้วจึงนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องช่วยกระตุ้นการทำงานและส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์โปรไบโอติกเหล่านั้น

ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนเลปติน

ต่อมใต้สมองหลั่งฮอร์โมนเลปติน
     ฮอร์โมนเลปติน (Leptin) หรือที่มีชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งว่า ฮอร์โมนความอิ่ม ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1994 (พ.ศ. 2537) เป็นฮอร์โมนชนิดหนึงที่ผลิตขึ้นจากเซลล์ไขมัน โดยฮอร์โมนชนิดนี้ทำหน้าที่ในการส่งสัญญาณจากเซลล์ไขมันไขมันไปยังเซลล์สมองในส่วนไฮโปธาลามัส (Hypothalamus) เพื่อให้หยุดความอยากอาหาร และช่วยกระตุ้นการเผาผลาญเพิ่มมากขึ้น ซึ่งถ้าหากมีไขมันสูง ปริมาณของของเลปตินก็จะถูกสร้างมากขึ้น เพื่อช่วยในการเผาผลาญ แต่ถ้าหากมีไขมันน้อย เลปตินก็จะถูกสร้างน้อยลง
     
     Liptin เป็นฮอโมน ที่เกี่ยวกับ ความอิ่ม หน้าที่คือ เมื่อเราทานอาหารเข้าไป เลปติน จะส่งสัญญาณไปในสมองเพื่อบอกว่า ให้อิ่มได้แล้ว ซึ่งนี่ก็เป็นหน้าที่หนึ่งในร่างกาย มีความเชื่อว่า การสูญเสียหน้าที่ ของ liptin ซึ่งทำหน้าที่บอกสมอง เกี่ยวกับ ไขมัน ในร่างกาย และ กดความอยากอาหาร และกระตุ้นการเผาผลาญ เป็นผลให้เรามีอ้วนขึ้นได้ 
      เลปตินไม่ใช่ฮอร์โมนที่ทำให้อ้วน แต่ความผิดปกติของฮอรโมนเลปติน ที่เรียกว่า ภาวะดื้อเลปติน นี่ต่างหากละค่ะ ที่ทำให้เราอ้วน ซึ่งภาวะดื้อเลปตินนี้เป็นภาวะที่ร่างกายต่อต้านฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้เกิดหิวอยู่ตลอดเวลา เนื่องจากเลปตินไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองได้ ทำให้กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม แถมยังทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานช้าลงอีกด้วย โดยภาวะการขาดเลปตินนั้น เกิดจากการนอนน้อย ซึ่งแพทย์ได้มีการวิจัยว่า การนอนน้อยทำให้เกิดความอยากอาหารมากขึ้น โดยเฉพาะอาหารที่มีไขมันสูงและของหวาน ดังนั้นจึงควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อยวันละ 8 ชั่วโมง และเลือกรับประทานน้ำตาลจากผลไม้แทนน้ำหวาน 

      ภาวะดื้อเลปตินเกิดขึ้นได้จากการที่เรากินอาหารไม่เป็นเวลาและไม่สามารถรักษาได้ด้วยยา แต่สามารถทำให้ลดลงได้ด้วยการปรับให้ฮอร์โมนเลปตินมีความสมดุลโดยการกินอาหารทุกมื้อให้ครบ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์และการออกกำลังกาย เพื่อให้ระดับฮอร์โมนเกิดความสมดุล ภาวะดื้อต่อเลปตินนี้เป็นภาวะที่ร่างกายต่อต้านฮอร์โมนชนิดนี้ทำให้เกิดหิวอยู่ตลอดเวลา
- เลปตินไม่สามารถส่งสัญญาณไปยังสมองได้ ทำให้กินเท่าไรก็ไม่รู้จักอิ่ม
- ทำให้ระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานช้าลงอีกด้วย

ต่อมไทรอยด์

ต่อมไทรอยด์ต่อมไร้ท่อ
     ต่อมไทรอยด์ (อังกฤษ: Thyroid gland) เป็นต่อมไร้ท่อที่อยู่ด้านหน้าของลำคอ โดยอยู่ด้านข้างและใต้ต่อกระดูกอ่อนไทรอยด์ (thyroid cartilage) และอยู่ลึกลงไปจากกล้ามเนื้อสเตอร์โนไฮออยด์ (sternohyoid) , สเตอร์โนไทรอยด์ (sternothyroid) และโอโมไฮออยด์ (omoyoid) ต่อมนี้มี 2 พู แผ่ออกทางด้านข้างและคลุมพื้นที่บริเวณด้านหน้าและด้านข้างของหลอดลม (trachea) รวมทั้งส่วนของกระดูกอ่อนคริคอยด์ (cricoid cartilage) และส่วนล่างของกระดูกอ่อนไทรอยด์ (thyroid cartilage) ทั้งสองพูนี้จะเชื่อมกันที่คอคอดไทรอยด์ (isthmus) ซึ่งอยู่ที่บริเวณด้านหน้าต่อกระดูกอ่อนของหลอดลม (trachea cartilage) ชิ้นที่สองหรือสาม
ต่อมไทรอยด์. จะทำหน้าที่จับไอโอดีนจากอาหารที่ทานเข้าไป แล้วนำไปรวมกับกรดอะมิโน Tyrosine เพื่อสร้างไทรอยด์ฮอร์โมน ส่งไปยังเซลล์เป้าหมาย (เช่น สมอง) ที่เซลล์เป้าหมายจะมีตัวรับสัญญาณจากไทรอยด์ฮอร์โมน เมื่อไทรอยด์ฮอร์โมนจับกับตัวรับสัญญาณที่เซลล์เป้าหมายแล้ว สัญญาณดังกล่าว จะกระตุ้นให้เซลล์นั้น สร้างโปรตีนหรือเอนไซม์ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ต่าง ๆ เป็นต่อมที่ควบคุมอุณหภูมิของร่างกายให้เสถียร ควบคุมการเจริญเติบโต และควบคุมเมตาบอลิซึมของร่างกาย เร่งกายหายใจ ควบคุมการเผาผลาญสารอาหารต่าง ๆ ในร่างกาย เช่น เร่งการสลายไขมัน เร่งการสลายไกลโคเจน จึงมีผลต่อการสร้างพลังงาน และอุณหภูมิของร่างกาย ควบคุมการเจริญเติบโตและพัฒนาการของสมอง
สัญญาณเตือนไทยรอยด์ผิดปกติ

     นพ.ธีรพล โตพันธานนท์ อธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคไทรอยด์เป็นพิษมักพบในเพศหญิง มากกว่าเพศชาย เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือดสูงกว่าปกติ เกิดจากต่อมไทรอยด์ทำงานมากขึ้น หรือเกิดจากร่างกายสร้างสารแอนติบอดี ไปกระตุ้นต่อมไทรอยด์ให้สร้างฮอร์โมนมากขึ้น หรือต่อมไทรอยด์อักเสบ หรือเกิดจากการได้รับฮอร์โมนไทรอยด์จากภายนอกเข้าสู่ร่างกายในขนาดที่มากเกินไป ซึ่งกรณีหลังนี้มักเกิดกับผู้ป่วยที่ได้รับยาฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อรักษาภาวะไทรอยด์ทำงานต่ำ หรือใช้เพื่อการลดน้ำหนักตัวแบบไม่ถูกวิธี

     "ฮอร์โมนไทรอยด์ เป็นฮอร์โมนสำคัญที่ช่วยควบคุมกระบวนการเผาผลาญ และการใช้พลังงานต่างๆ ภายในร่างกาย ถ้าร่างกายมีระดับฮอร์โมนไทรอยด์สูงขึ้น จะทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญมากขึ้น เสมือนร่างกายทำงานหนักอยู่ตลอดเวลา จึงทำให้น้ำหนักตัวลดลง แม้จะรับประทานอาหารในปริมาณเท่าเดิมหรือน้ำหนักตัวไม่เพิ่มขึ้น ส่วนอาการของไทรอยด์เป็นพิษจะทำให้เกิด 1.อาการใจสั่น ชีพจรเต้นเร็ว 2.น้ำหนักตัวลดลง 3.มือสั่น 4.หงุดหงิดง่าย 5.ตาโปน ผมร่วง 6.ขี้ร้อน เหงื่อออกมาก 7.ถ่ายอุจจาระบ่อย บางครั้งอาจเกิดภาวะประจำเดือนผิดปกติ 8.บางรายอาจสังเกตเห็นต่อมไทรอยด์ที่อยู่บริเวณลำคอด้านหน้ามีขนาดโตขึ้น และ 9.ขาสองข้างอ่อนแรง จนถึงขั้นยกขาหรือยืนไม่ได้ ซึ่งพบได้ไม่บ่อย แต่อาจเป็นอาการแรกสุดที่เกิดขึ้นได้" นพ.ธีรพล กล่าว

    นพ.ธีรพล กล่าวว่า หากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง จะทำให้เกิดอาการกำเริบรุนแรง ส่งผลให้การทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกายแปรปรวนอย่างมาก จนเกิดอาการทางระบบประสาทสับสน เพ้อ เห็นภาพหลอน จำใครไม่ได้ รวมทั้งอาการหัวใจเต้นไม่สม่ำเสมอ หัวใจหยุดเต้นชั่วขณะ และอาจทำให้หัวใจล้มเหลวได้ นอกจากนี้ ยังอาจพบอาการทางระบบทางเดินอาหาร ทำให้เกิดอาการดีซ่าน ตับอักเสบ ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน การควบคุมอุณหภูมิร่างกายผิดปกติ ทำให้มีไข้สูง ชัก บางรายอาจเกิดภาวะไตวายเฉียบพลันได้ ทั้งนี้ การรักษาไทรอยด์ที่มีสาเหตุมาจากต่อมไทรอยด์ทำงานมากเองโดยทั่วไปทำได้ 3 วิธี คือ การใช้ยาชนิดรับประทานเพื่อควบคุมการสร้างฮอร์โมนไทรอยด์ให้ปกติ การกลืนแร่รังสีไอโอดีน และการผ่าตัดต่อมไทรอยด์ อย่างไรก็ตาม โรคไทรอยด์เป็นพิษ เป็นโรคที่สามารถรักษาให้หายขาดได้ หากได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอ ดังนั้น การเป็นคนช่างสังเกต และใส่ใจสุขภาพจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เมื่อมีอาการผิดปกติเกิดขึ้น ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อการรักษาอย่างถูกต้อง


ฮอร์โมนจากตับอ่อน

ตับอ่อนกับฮอร์โมนที่สำคัญกับชีวิต
      ฮอร์โมนจากตับอ่อนสร้างโดยตับอ่อนตั้งอยู่ที่ด้านบนซ้ายของช่องท้อง โดยวางตัวจากส่วนโค้งของลำไส้เล็กส่วน ดูโอดีนัม (duodenum ) ถึงม้าม(spleen) และด้านหลังของกระเพาะ(stomach) มีลักษณะ ค่อนข้างแบน มีความยาวประมาณ 12 – 15 เซนติเมตร ตับอ่อนทำหน้าที่ทั้งเป็นต่อมมีท่อ คือ การสร้างน้ำย่อยไปที่ลำไส้เล็กและเป็นต่อมไร้ท่อสร้างฮอร์โมน

     เซลล์ที่ทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนจะรวมกันเป็นกลุ่มมีชื่อว่าไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ ฮานส์ (Islets of Langerhans) มีปริมาณ 1 – 3 เปอร์เซ็นต์ของเนื้อเยื่อตับอ่อนทั้งหมด ซึ่ง ประกอบไปด้วยเซลล์ทั้งหมด 6 ชนิด แต่มี 4 ชนิดที่เป็นเปปไทด์ฮอร์โมน ได้แก่
1.เอ หรือแอลฟาเซลล์ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 20 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนกลูคากอน
2.บี หรือเบตาเซลล์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 75 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนอินซูลิน
3.ดีหรือเดต้าเซลล์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 5-10 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนโซมาโทสเตทิน (somatostatin)
4.พีพี หรือเอฟเซลล์ เพนคริเอติก พอลิเปปไทด์ มีเนื้อที่ประมาณร้อยละ 1-2 ของไอเลตส์ออฟแลงเกอร์ฮานส์ ทำหน้าที่ผลิตเพนคริเอติก พอลิเปปไทด์ (pancreatic polypeptide) ทำหน้าที่ลดการดูดซึมอาหารที่กระเพาะและลำไส้ (gastrointestinal function)

    ฮอร์โมนที่สร้างจากตับอ่อน ได้แก่
1.อินซูลิน(Insulin) อินซูลินเป็นฮอร์โมนประเภทเปปไทด์ ที่ช่วยในการสร้างสารชีวโมเล กุล (anabolic hormone) เพิ่มการเก็บกลูโคส กรดไขมัน และโปรตีน จากกระแสเลือด ทำงาน ตรงข้ามกับฮอร์โมนกลูคากอน อินซูลินมีผลต่อเซลล์เกือบทุกชนิดในร่างกาย โดยมีอวัยวะเป้า หมายที่สำคัญคือ ตับ กล้ามเนื้อลาย และเซลล์ไขมัน อินซูลินได้ชื่อว่า เป็นฮอร์โมนแห่งความอุดมสมบูรณ์ (hormone of abundance) เป็นฮอร์โมนที่ส่งเสริม ให้มีการสะสมกลูโคส กรดไขมันและกรดอะมิโนไว้ภายในเซลล์ต่างๆ และ สำรองไว้ใช้ ระหว่างช่วงมื้ออาหาร และ เมื่อร่างกายขาดแคลน ทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดมีค่า ปกติ
     การมีฮอร์โมนนี้มากเกินไป (insulin excess) จะทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (hypoglycemia) ซึ่งจะมีผลต่อเซลล์ของสมอง อย่างรวดเร็ว ทำให้มีอาการสับสน มึนงง อ่อนเพลีย นอกจากนี้ ยังไปกระตุ้นการทำงานของประสาทซิมพาเทติก ทำให้มีอาการหิว ใจสั่น เหงื่อออกมาก และ เพิ่มการหลั่งแคททีโคลามีนจากต่อมหมวกไต ให้ตับมีการสลาย ไกลโคเจน เป็นกลูโคสมากขึ้น ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขโดยการให้กลูโคสทดแทนอาการจะ รุนแรงคือชัก หมดสติ และเสียชีวิตได้ การขาดฮอร์โมนอินซูลิน (insulin insufficiency)
     การขาดฮอร์โมนอินซูลินทำให้กลูโคสเข้าเซลล์เนื้อเยื่อไม่ได้ ทำให้ร่างกายเสมือนขาด อาหาร (starvation) ตับจึงสลายไกลโคเจนมายังหลอดเลือดทำให้ระดับน้ำตาลยิ่งสูง มากขึ้น (hyperglycemia) การที่ร่างกายขาดกลูโคสในขณะที่น้ำตาลในเลือดสูงจะเป็น ภาวะผิดปกติ  ที่เรียกว่า เบาหวาน (diabetes mellitus)

2.กลูคากอน(Glucagon) ฮอร์โมนกลูคากอนเป็นฮอร์โมนที่ช่วยในการทำลายสาร ชีวโมเลกุล (catabolic hormone) สลายกลูโคส กรดไขมัน และ โปรตีนทำให้เพิ่มระดับ น้ำตาลในกระแส เลือด มีผลการทำงานตรงกันข้ามกับฮอร์โมนอินซูลิน (insulin) ถ้า น้ำตาลในกระแสเลือดลดต่ำลง ร่างกายมีการหลั่งฮอร์โมนหลายชนิดให้ระดับน้ำตาลใน กระแสเลือดเพิ่มมากขึ้น กลูคากอน เป็นตัวหนึ่งที่ทำหน้าที่ สลายคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีนของเนื้อเยื่อออกมาเป็นกลูโคส กรดไขมันและ กรดอะมิโนให้เพิ่มขึ้นในกระแส เลือด ถ้าระบบควบคุมการหลั่งกลูคากอนผิดปกติ เซลล์แอลฟาจะหลั่งกลูคากอนตลอด เวลา การมีฮอร์โมนมากกว่าปกติ จะเร่งการสลายกลูโคสภายในตับ เร่งให้ตับปล่อย กลูโคส ออกสู่เลือดมากขึ้น ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น การหลั่งกลูคากอนลดลง จะทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำได้

ฮอร์โมนความเครียด

ความเครียดจะทำให้ฮอร์โมนแห่งความเครียดถูกหลั่งออกมา
อะดรีนาลีน (Adrenaline) เป็น “ฮอร์โมน” สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไต อดรีนาลีนจะหลั่งออกมาขณะที่ โกรธ, ตกใจ, ตื่นเต้น อย่างรุนแรง เป็นวิวัฒนาการที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเพื่อรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉิน ทำให้เพิ่มประสิทธิภาพทางร่างกายในระยะเวลาอันสั้น เลือดสามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างรวดเร็ว ออกซิเจนสามารถเข้าสู่ปอดได้อย่างรวดเร็ว

ถ้าเราเครียด สารตัวนี้จะหลั่งในสมองมาก กระตุ้นให้ร่างกายเกร็ง เร่งเครื่องตลอดเวลา ถ้าเครียดมากหรือเครียดเรื้อรัง ร่างกายจะแย่เพราะ หลอดเลือดฝอยในสมองหดตัวและความดันในสมองสูงขึ้น ชีพจรและความดันโลหิตเพิ่มขึ้น จนเกิดเส้นเลือดแตกทำให้เป็นอัมพฤกษ์ได้ง่าย

    ฮอร์โมนอะดรีนาลิน สร้างขึ้นจากต่อมหมวกไตจะหลั่งออกมาเวลาที่เราอยู่ในภาวะตกใจ โกรธ ตื่นเต้น ตกอยู่ในอันตราย หรือเกิดความเครียด ซึ่งเมื่อหลั่งออกมาแล้ว จะไปกระตุ้นระบบประสาทซิมพาเทติก ทำให้ร่างกายเกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างขึ้น คือเปลี่ยนไกลโคเจนในตับให้เป็นกลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด ทำมีน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น การเผาผลาญอาหารเพิ่มมากขึ้น เป็นผลให้กล้ามเนื้อมีแรงมหาศาลทำให้แรงดันของโลหิตเพิ่มขึ้นทำให้หลอดเลือดแดงขนาดเล็กที่บริเวณอวัยวะภายในต่าง ๆ ขยายตัว แต่เส้นเลือดขนาดเล็กที่ผิวหนัง และช่องท้องหดตัว และกลูโคสไปให้เซลล์ในร่างกายได้มากขึ้น และเข้าสู่ปอดได้รวดเร็วกระตุ้นให้หัวใจบีบตัว ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้น มีการสูบฉีดโลหิตเพิ่มขึ้น เพื่อให้ร่างกายตื่นตัวมากกว่าปกติ จะได้เตรียมต่อสู้ หรือหนีกระตุ้นให้หลอดลมขยายตัว เพื่อให้ปอดรับออกซิเจนได้เต็มที่ ทำให้อัตราการหายใจเพิ่มขึ้นรูม่านตาเบิกกว้าง ช่วยให้มองเห็นชัดขึ้น

ฮอร์โมนเพศ

ฮอร์โมนเพศ ชายและหญิง
     ฮอร์โมนเพศ คือ สารเคมีที่เป็นฮอร์โมน โดยส่วนใหญ่จะสร้างจากอวัยวะที่เป็นอวัยวะในระบบสืบพันธุ์ เช่น รังไข่ (ในผู้หญิง) หรือ อัณฑะ (ในผู้ชาย) แต่ส่วนน้อยจะสร้างได้จากอวัยวะอื่นในระบบต่อมไร้ท่อ เช่น ต่อมหมวกไต ทั้งนี้ การสร้างฮอร์โมนเพศของ รังไข่ หรือ อัณฑะ จะอยู่ในการกำกับควบคุมของต่อมใต้สมอง และต่อมใต้สมองจะอยู่ในการกำกับควบคุมของสมองส่วนไฮโปธาลามัสเป็นหลัก
ฮอร์โมนเพศ มีหน้าที่สำคัญในการให้การเจริญเติบโตกับอวัยวะที่เป็นสัญลักษณ์บอกเพศ (เช่น อวัยวะเพศหญิง และเต้านมในเพศหญิง หรือ อวัยวะเพศชาย หนวด เครา ในเพศชาย), การมีประจำเดือนในเพศหญิง หรือมีน้ำอสุจิ และอสุจิในเพศชาย โดยอวัยวะที่จะอยู่ภายใต้การดูแลของฮอร์โมนเพศ จะต้องมีตัวรับ (Receptor) ฮอร์โมนเพศ ที่เรียกว่า Hormone receptor ฮอร์โมนเพศจึงจะสามารถทำงานหรือทำให้เกิดลักษณ์ทางเพศได้

ฮอร์โมนเพศ แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ ฮอร์โมนเพศหญิง และ ฮอร์โมนเพศชาย
ฮอร์โมนเพศหญิง ได้แก่ ฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) และ ฮอร์โมนโพรเจสโตเจน (Progestogen) หรือ โพรเจสเทอโรน (Progesterone) ฮอร์โมนเพศชาย ได้แก่ ฮอร์โมนแอนโดรเจน (Androgen) หรือ เทสทอสเทอรอล (Testosterone)
วัยทอง
     "วัยทอง" มีความหมายถึงช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้หญิงครั้งใหญ่อีกหนึ่งครั้ง หลังจากเปลี่ยนผ่านมาแล้วในวัยแรกรุ่นและวัยเจริญพันธุ์ ในช่วงเวลาของการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายนี้ การรู้จักปรับตัวรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ย่อมทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น มีสุขภาพดีทั้งกายและใจ รวมทั้งสามารถที่จะดำรงตนอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

วัยทองคืออะไร
วัยทองหรือวัยหมดประจำเดือนในผู้หญิงจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 45-55 ปี โดยเฉลี่ยอายุ 50 ปี เมื่อถึงวัยนี้ รังไข่จะหยุดทำงาน และไม่มีการตกไข่อีกต่อไป ทำให้ไม่มีประจำเดือนและไม่มีการสร้างฮอร์โมนเพศหญิงจากรังไข่อีก ฮอร์โมนเพศหญิงที่ขาดหายไปนี้มีชื่อว่าเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรน จึงทำให้เกิดอาการเปลี่ยนแปลงของร่างกายและจิตใจต่างๆ ตามมา อาการของการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวนั้นรู้จักกันโดยทั่วไปว่า เลือดจะไปลมจะมา 
จะดูแลตนเองอย่างไรในวัยทอง
     อาหาร สตรีวัยทองควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และเน้นการรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมสูง เช่น นม โยเกิร์ต พืชตระกูลถั่ว เต้าหู้ งาดำ ปลาเล็กปลาน้อยที่รับประทานพร้อมก้าง ผักใบเขียว เป็นต้น แคลเซียมที่รับประทานจะเป็นตัวเสริมสร้างกระดูกเพื่อป้องกันภาวะกระดูกพรุน นอกจากนี้ ควรควบคุมระดับไขมันในเส้นเลือดโดยงดรับประทานอาหารที่มีคอเลสเตอรอลสูง และเลือกรับประทานอาหารที่ย่อยง่าย

ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น การเดิน การวิ่งเหยาะๆ เต้นรำ รำมวยจีน เต้นแอโรบิค เป็นต้น

ฝึกการควบคุมอารมณ์ให้มีความคิดในทางบวก และทำจิตใจให้แจ่มใสเบิกบาน

ตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ปีละ 1 ครั้ง ตรวจเช็คความดันโลหิต ตรวจเลือดหาระดับไขมัน ตรวจภายในเช็คมะเร็งปากมดลูก ตรวจหามะเร็งเต้านม (Mammography) และตรวจหาความหนาแน่นของกระดูก (Bone mineral density) รวมทั้งการตรวจระดับของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับวัยทอง