วันศุกร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุด

สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดด้วยโภชนาการตามหลักวิทยสศาสตร์
     เอาสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดเป็นตัวตั้งแล้วหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์และโภชนาการที่ถูกต้องมาเป็นองค์ความรู้สนับสนุน ด้วยเหตุและด้วยผลของงานวิจัยและการทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้ผลลัพท์ออกมาคือ สุขภาพของคุณจะแข็งแรงสมบูรณ์สูงสุดตลอดไป

     ร่างกายของมนุษย์ทุกคนประกอบด้วยสิ่งมีชีวิตซ่อนอยู่ภายในร่างกายอยู่ 2 ชนิด คือเซลร่างกายของเรามีอยู่ 60 ล้าน ล้านเซล และมีสิ่งมีชีวตอีกชนิดหนึ่งคือ แบคที่เรียดีอาศัยอยู่ที่สำไส้ของมนุษย์มีอยู่ 600 ล้าน ล้านตัว ทั้งสองส่วนอาศัยร่ามกันมาตั้งแต่มนุษย์ถือกำเนิดเกิดมาบนโลกนี้ตั้งแต่สมัยบรรพกาล ชีวิตมนุษย์ที่สามารถยืนหยัดมาจนถึงทุกวันนี้สิ่งมีชีวิตทั้งสองต่างเกื้อกูลกันตลอดมา
ร่างกายต้องการสารอาหารจำเป็น 5 หมู่ จากอาหารเพื่อการดำรงชีวิต
อาหารหลัก 5 หมู่ และประโยชน์ต่อสุขภาพ

ร่างกายของคนเราควรได้รับสารอาหารที่เป็นประโยชน์ เพื่อให้ร่างกายสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ เนื่องจากการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์จะทำให้ร่างกายแข็งแรง ป้องกันการเจ็บป่วยได้ง่าย แต่การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หากแต่สารอาหารที่ร่างกายได้รับนั้นไม่ครบทั้ง 5 หมู่อย่างที่ควรได้รับก็ถือว่าร่างกายยังไม่สมบูรณ์และแข็งแรงได้อย่างแท้จริง

หากต้องการให้ร่างกายมีความสมบูรณ์แข็งแรงและไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บง่าย ก็ควรใส่ใจ่รับประทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่เป็นประจำทุกวัน ว่าแต่เราสามารถรับประทานให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ได้จาก
อาหารหมู่ที่ 1 โปรตีน ประกอบไปด้วยอาหารประเภทเนื้อสัตว์ นม ไข่ และถั่วต่างๆ ซึ่งอาหารประเภทนี้จะให้สารอาหารประเภทโปรตีนแก่ร่างกาย เพื่อให้ร่างกายมีความเจริญเติบโต อีกทั้งยังทำให้ร่างกายมีความแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ไม่เพียงเท่านั้น มันยังทำหน้าที่ช่วยเสริมภูมิต้านทานเพื่อป้องกันโรคให้แก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี

สำหรับร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บจากการเกิดอุบัติเหตุจนทำให้ร่างกายเกิดการสึกหรอ สารอาหารเหล่านี้ก็ช่วยซ่อมแซมในส่วนนั้นได้ดีทีเดียว ในส่วนของอาหารประเภทนี้ยังถูกนำไปสร้างกระดูก เลือด กล้ามเนื้อ ผิวหนัง น้ำย่อย เม็ดเลือด และฮอร์โมน รวมทั้งภูมิต้านทานเชื้อโรคต่างๆ ดังนั้นจึงถือว่าอาหารที่อยู่ในหมู่ที่ 1 นี้ จัดเป็นอาหารหลักที่มีความสำคัญในการสร้างโรคงสร้างของร่างกายในการเจริญเติบโต และช่วยทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติยิ่งขึ้น

โปรตีนจะประกอบไปด้วยสารเคมี 2 ชนิดด้วยกันคือ
1. กรดอะมิโนจำเป็น คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นมาเองได้ ดังนั้นร่างกายจึงต้องได้รับกรดอะมิโนประเภทนี้จากการรับประทานเข้าไป
2. กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น คือ กรดอะมิโนที่ร่างกายได้รับจากการรับประทานอาหาร และยังได้รับจากการสร้างขึ้นมาเองของร่างกายอีกด้วย

ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 1
1.โปรตีนเป็นสารอาหารที่มีความจำเป็นต่อการเจริญเติบโตของร่างกาย
2.ร่างกายมีความต้องการโปรตีนอยู่เสมอเพื่อนำโปรตีนไปซ่อมแซมเนื้อเยื่อในส่วนที่สึกหรออยู่ทุกวัน
3.โปรตีนมีส่วนช่วยรักษาดุลน้ำ เพราะโปรตีนที่มีอยู่ในเซลล์และหลอดเลือดจะช่วยรักษาปริมาณน้ำในเซลล์และหลอดเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ที่มีความเหมาะสม
4.ช่วยรักษาดุลกรด – ด่างของร่างกาย เนื่องจากกรดอะมิโนนั้นจะมีหน่วยคาร์บอกซีลที่มีฤทธิ์เป็นกรดและเป็นด่าง ดังนั้นโปรตีนจึงมีคุณสมบัติช่วยรักษาดุลกรด – ด่างนั่นเอง และนั่นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญต่อการเกิดปฏิกิริยาต่างๆ ภายในร่างกาย

อาหารหมู่ที่ 2 คาร์โบไฮเดรต
ประกอบไปด้วยข้าว น้ำตาล แป้ง มัน และเผือก เป็นต้น ซึ่งอาหารประเภทนี้จะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตแก่ร่างกาย และนั่นก็คือการให้พลังงานแก่ร่างกายนั่นเอง มันจึงทำให้ร่างกายของคนเราสามารถทำงานได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังให้ความอบอุ่นแก่ร่างกายอีกด้วย ในส่วนของพลังงานที่ได้รับจากการทานอาหารประเภทนี้โดยส่วนใหญ่จะหมดไปเป็นวันต่อวัน จากการทำกิจกรรมต่างๆ เช่น ทำงาน ออกกำลังกาย และเดิน เป็นต้น แต่หากคุณรับประทานอาหารประเภทนี้มากเกินความต้องการของร่างกายก็จะทำให้พลังงานถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมัน จนทำให้เกิดโรคอ้วนตามมา

คาร์โบไฮเดรตที่ร่างกายได้รับจากการรับจากอาหารประเภทนี้มี 3 ประเภทด้วยกันคือ
1.โนโนแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดของโมเลกุลเล็กที่สุด จะดูดซึมจากลำไส้ได้เลยเมื่อเข้าสู่ร่างกาย โดยที่ไม่ต้องผ่านการย่อยแต่อย่างใด
2.ไดแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีส่วนประกอบของโมโนแซ็กคาไรด์จำนวน 2 ตัวมารวมกัน เมื่อร่างกายได้รับสารไดแซ็กคาไรด์ จะทำให้น้ำย่อยที่อยู่ในลำไส้เล็กย่อยออกมาเป็นโมโนแซ็กคาไรด์ก่อน ร่างกายจึงนำไปใช้ประโยชน์ได้
3.พอลีแซ็กคาไรด์ คือ คาร์โบไฮเดรตที่มีขนาดโมเลกุลใหญ่ที่สุด อีกทั้งยังมีสูตรโครงสร้างที่ซับซ้อน และประกอบไปด้วยโมโนแซ็กคาไรด์จำนวนมากมารวมกัน
ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 2
1.มีความจำเป็นต่อการเผาผลาญไขมันในร่างกายให้เป็นไปตามปกติ
2.มีความสำคัญต่อการทำงานของสมอง
3.สงวนคุณค่าของโปรตีนไม่ให้เกิดการเผาผลาญเป็นพลังงาน หากร่างกายได้รับพลังงานจากคาร์โบไฮเดรตที่เพียงพอ
4.คาร์โบไฮเดรตเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ของแคลอรีทั้งหมดที่ร่างกายได้รับ
แต่ละวัน
5.กรดกลูคูโรนิกซึ่งเป็นสารอนุพันธุ์ของกลูโคสนั้น จะคอยทำหน้าที่ในการเปลี่ยนสารพิษที่เข้าสู่ร่างกายเมื่อสารพิษเหล่านั้นผ่านไปที่ตับให้มีพิษลดลง อีกทั้งยังทำให้สารพิษอยู่ในสภาพที่ขับถ่ายออกมาได้

อาหารหมู่ที่ 3 วิตามินพืชผัก
ประกอบไปด้วยผักต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นตำลึง ผักกาด ผักบุ้ง ผักใบเขียวต่างๆ และผักชนิดอื่นๆ ที่สามารถนำมารับประทานได้โดยไม่ก่อให้เกิดอันตราย ซึ่งอาหารประเภทนี้จะมีส่วนในการให้วิตามินและเกลือแร่แก่ร่างกาย อีกทั้งยังช่วยเสริมสร้างเพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรงมากยิ่งขึ้น ให้ร่างกายได้มีแรงต้านทานต่อเชื้อโรคชนิดต่างๆ แถมยังทำให้อวัยวะต่างๆ ในร่างกายสามารถทำงานได้เป็นปกติอีกด้วย
สารอาหารที่ร่างกายจะได้รับจากการทานอาหารในหมู่ที่ 3 นี้ก็คือวิตามิน ซึ่งเป็นวิตามินในกลุ่มของสารอินทรีย์ และยังเป็นสารอาหารที่ร่างกายต้องการจำนวนน้อย เพื่อทำให้เกิดปฏิกิริยาต่างๆ ในร่างกายได้อย่างปกติ เนื่องจากร่างกายไม่สามารถสร้างวิตามินเองได้ ดังนั้นจึงเกิดอาการอาศัยสมบัติของการละลายตัวของวิตามิน และทำให้เกิดการแบ่งวิตามินออกเป็น 2 จำพวกคือ วิตามินที่ละลายตัวในไขมัน และวิตามินที่ละลายในน้ำ
1.วิตามินที่ละลายตัวในไขมัน คือ วิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี และวิตามินเค ซึ่งเป็นวิตามินที่มีการดูดซึมโดยการต้องอาศัยไขมันในอาหาร มีหน้าที่ทางชีวเคมีที่เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนบางชนิดในร่างกาย
2.วิตามินที่ละลายในน้ำ คือ วิตามินทั้ง 9 ตัว ได้แก่ วิตามินซี วิตามินบี1 วิตามินบี2 วิตามินบี3 วิตามินบี12 ไนอาซิน กรดแพนโทนิก ไบโอติน และโฟลาซิน เป็นวิตามินที่มีหน้าที่ทางชีวเคมีคือ เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาหรือทำให้ปฏิกิริยาของร่างกายดำเนินไปได้
ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 3
1.ช่วยในการมองเห็นของดวงตา โดยเฉพาะในสถานที่ที่มีแสงสว่างน้อย
2.ช่วยเผาผลาญโปรตีนที่อยู่ในร่างกาย เพื่อให้เกิดพลังงาน
3.มีส่วนสำคัญต่อการทำงานของเซลล์ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบประสาท ไขกระดูก หรือทางเดินอาหาร

อาหารหมู่ที่ 4 วิตามินผลไม้
ประกอบไปด้วยผลไม้ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น กล้วย ส้ม มะละกอ แอปเปิล ลำไย มังคุด และอื่นๆ ซึ่งผลไม้เหล่านี้จะให้สารอาหารประเภทวิตามินและเกลือแร่ ซึ่งเป็นสารที่จะช่วยทำให้ร่างกายของคนเรามีความแข็งแรงพร้อมทั้งมีแรงในการต้านทานโรค แถมยังมีกากใยอาหารที่ช่วยทำให้การขับถ่ายของลำไส้เป็นไปตามปกติอีกด้วย

ประเภทของสารอาหารหมู่ที่ 4
ประเภทของสารอาหารที่จะได้รับจากอาหารหมู่นี้นั่นก็คือ เกลือแร่ ซึ่งเป็นเกลือแร่ที่จัดอยู่ในกลุ่มของสารอนินทรีย์ที่ร่างกายขาดไม่ได้เลย ทั้งนี้มีการแบ่งเกลือแร่ชนิดนี้ออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

1.เกลือแร่ที่มนุษย์ต้องการในปริมาณที่มากกว่าวันละ 100 มิลลิกรัม นั่นก็คือ แมกนีเซียม โซเดียม กำมะถัน ฟอสฟอรัสโพแทสเซียม คลอรีน และแคลเซียม
2.เกลือแร่ที่มนุษย์ต้องการในปริมาณวันละ 2-3 มิลลิกรัม นั่นก็คือ เหล็ก โครเมียม ไอโอดีน ทองแดง โคบอลต์ สังกะสี แมงกานีส ซีลีเนียม ฟลูออรีนและโมลิบดีนัม
ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 4
1.ช่วยควบคุมความเป็นกรด – ด่างในร่างกาย เพราะ โพแทสเซียม คลอรีน ฟอสฟอรัส และโซเดียม มีหน้าที่สำคัญในการช่วยควบคุมความเป็นกรด – ด่างในร่างกาย
2.ช่วยควบคุมสมดุลน้ำ เนื่องจากโพแทสเซียมและโซเดียมมีส่วนช่วยในการควบคุมความสมดุลของน้ำทั้งที่อยู่ภายในและภายนอกเซลล์
3.มีส่วนช่วยในการเร่งปฏิกิริยา เนื่องจากปฏิกิริยาหลายชนิดที่อยู่ในร่างกายจะดำเนินไปได้นั้น ต้องมีเกลือแร่เป็นตัวเร่ง เช่น แมกนีเซียม ถือเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาที่มีความเกี่ยวข้องกับการเผาผลาญกลูโคสให้เกิดพลังงาน

ประเภทของสารอาหารหมู่ที่ 5
สำหรับประเภทของสารอาหารในอาหารหมู่นี้ก็คือ ไขมัน ซึ่งเป็นสารอินทรีย์กลุ่มหนึ่งที่ไม่สามารถละลายได้ในน้ำ แต่จะสามารถละลายได้ดีในน้ำมันและไขมันด้วยกัน ตัวอย่างเช่น ไขมันที่มีความเกี่ยวข้องกับสุขภาพของคน คือ ไตรกลีเซอไรด์และคอเสเตอรอล โดยส่วนใหญ่ไขมันทั้งสองชนิดนี้จะอยู่ในอาหาร และในส่วนของประเภทกรดไขมันจะแบ่งออกเป็น 2 ประเภทดังนี้

1.กรดไขมันไม่จำเป็น คือกรดไขมันที่นอกจากร่างกายจะได้รับจากการรับประทานอาหารแล้ว ร่างกายยังสามารถสังเคราะห์กรดไชมันชนิดนี้ได้อีกด้วย นั่นก็คือ กรดสเตียริกและกรดโอเลอิก
2.กรดไขมันจำเป็น คือ กรดไขมันที่ร่างกายไม่สามารถสังเคราะห์เองได้ ร่างกายจะได้รับจากการรับประทานอาหารเข้าไป โดยกรดไขมันชนิดนี้จะมีอยู่ด้วยกัน 3 ตัวคือ กรดไลโนเลอิก กรดไลโนเลนิก และกรดอะแรคิโดนิก

ประโยชน์ของสารอาหารหมู่ที่ 5
1.ไขมันในปริมาณ 1 กรัม จะให้พลังงานมากถึง 9 กิโลแคลอรี ให้กรดไขมันที่จะเป็นต่อการช่วยในการดูดซึมของวิตามินเอ วิตามินดี วิตามินอี แบะวิตามินเค
2.ไขมันจะทำให้รสชาติของอาหารถูกปาก แต่ทั้งนี้ก็ต้องมีไขมันในปริมาณที่พอเหมาะ
3.มีส่วนช่วยทำให้อิ่มท้องได้นาน ไม่ทำให้รู้สึกหิวบ่อยๆ
ทราบถึงเนื้อหาต่างๆ ที่เกี่ยวกับอาหาร 5 หมู่ ประเภทของสารอาหาร และหน้าที่ของสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายไปแล้ว จะเห็นได้ว่าการรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่นั้นมีความสำคัญอย่างมาก เพราะร่างกายไม่สามารถรับสารอาหารประเภทใดประเภทหนึ่งแต่เพียงเท่านั้น อีกทั้งหากเรารับประทานอาหารไม่ครบถ้วนทั้ง 5 หมูเพียงพอหรือหากขาดสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็ย่อมส่งผลกระทบต่อร่างกายได้เช่นเดียวกัน โดยจะก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพในด้านอื่นๆ ตามมา

ดังนั้น เพื่อร่างกายจะได้รับสารอาหารไปใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพและเสริมสร้างความสมบูรณ์ให้สุขภาพต่อไป จากนี้ต้องพิถีพิถีใส่ใจเรื่องการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นสารอาหารให้ครบถ้วน 5 หมู่เป็นประจำทุกมื้อจะดีที่สุด หากทำได้เช่นนี้ นอกจากโรคภัยไข้เจ็บไม่กล้ามาเบียดเบียนง่ายแล้ว ยังทำให้อายุยืนยาวได้อีกด้วย


     โปรไบโอติก = ซุปเปอร์ฮีโร่ประจำร่างกาย อาศัยภายในลำไส้ของเรานั้นเต็มไปด้วยจุลินทรีย์จำนวนมากมายมหาศาล ซึ่งจุลินทรีย์เหล่านี้คือ “ฮีโร่” โดยเฉพาะโปรไบโอติกกลุ่มแลคติกแอซิดแบคทีเรีย ที่นอกจากจะช่วยในการปรับกลไกของลำไส้แล้ว ยังมีส่วนสำคัญในการช่วยสร้างสมรรถภาพของลำไส้ ลดอาการภูมิแพ้ แก้อาการอักเสบ แถมยังมีผลในการป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ และมะเร็งได้อีกด้วย

พรีไบโอติก (Prebiotics) คืออะไร
    หากท่านเป็นผู้ที่มีปัญหาเรื่องขับถ่ายยากเป็นประจำ ก็คงเคยได้รู้จักกับโปรไบโอติก( Probiotics) มาบ้าง แต่อาจยังไม่เคยได้ยินว่ายังมี พรีไบโอติก (Prebiotics) อยู่ด้วย เเละหากทราบว่า โปรไบโอติก คือ จุลินทรีย์มีชีวิตที่ก่อให้เกิดประโยชน์หลายๆด้านกับร่างกาย แล้วพรีไบโอติกล่ะคืออะไร ?มีประโยชน์หรือไม่?แล้วเกี่ยวข้องกับโปรไบโอติกอย่างไร?วันนี้เราจะมาไขปัญหาเหล่านี้กัน…

    พรีไบโอติก (Prebiotics)  คือ อาหารของจุลินทรีย์ ซึ่งร่างกายมนุษย์ไม่สามารถย่อยได้และไม่ถูกดูดซึมได้ในระบบทางเดินอาหาร ทั้งกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กจึงเป็นสารอาหารที่มนุษย์นำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ แต่แบคทีเรียในกลุ่ม lactic acid bacteriaได้แก่ แล็กโทบาซิลลัส (lactobacillus) และ ไบฟิโดแบคทีเรีย (bifidobacteria) ซึ่งเป็นจุลินทรีย์โปรไบโอติก สามารถ ย่อย Prebiotics ที่บริเวณลำไส้ใหญ่ได้แล้วจึงนำไปใช้ประโยชน์ในเรื่องช่วยกระตุ้นการทำงานและส่งเสริมการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์โปรไบโอติกเหล่านั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น